เทพาจัดคู่ขนาน เวที"โรงไฟฟ้า"

เครือข่ายพลเมืองสงขลา-ปัตตานี ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่าน หิน "เทพา" เปิดเวทีคู่ขนานกับ ภาครัฐ-กฟผ.แถลงการณ์ชี้กระบวนการรับฟังความคิดเห็นไม่ชอบธรรม ฟังความคิดเห็นฝ่ายสนับสนุนด้านเดียว กีดกันฝ่ายไม่เห็นด้วย ไม่ให้เข้าร่วมเวที อีกทั้งบิดเบือนข้อมูล ให้ข้อเท็จจริง ไม่ครบถ้วนรอบด้าน เรียกร้อง กฟผ. ผวจ.สงขลา ยุติกระบวนการดังกล่าว ไม่ให้นำ ผลการรับฟังที่ขาดความชอบธรรม มาอ้างขออนุญาตก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จนกว่า จะมีกระบวนการอันเป็นที่ยอมรับของสาธารณชน
เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ที่ อบต.ปากบาง อ.เทพา จ.สงขลา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ จ.สงขลา เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน และท่าเทียบเรือสำหรับโรงไฟฟ้า อ.เทพา ครั้งที่ 3 ต่อเนื่องกันเป็นวันที่ 2 ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ 3 ฝ่าย ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง กว่า 200 นาย รักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดย ผู้เข้าร่วมเวทีส่วนใหญ่เป็นฝ่ายสนับสนุนโครงการ
นายสม ศักดิ์ ศรีวารีพิพัฒน์ ตัวแทน ชาวประมงพื้นบ้าน หมู่ 4 ต.ปากบาง กล่าวชาวประมงพื้นบ้านไม่ได้ต่อต้านแบบหัวชนฝา แต่จะต้องวางแนวทางการช่วยเหลือระยะยาวให้ชัดเจน และทำได้อย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากโครงการจะส่งผลต่อระบบนิเวศโดยรอบ รวมทั้งทิศทางน้ำ กระแสน้ำ การอพยพของฝูงปลา และปัญหาคลื่นกัดเซาะชายฝั่ง ประชาชนบางส่วนอาจต้องอพยพ หรือยกเลิกอาชีพประมง เนื่องจากที่อยู่อาศัยอยู่ในแผนที่จะทำโครงการ ดังนั้น จะต้องได้รับการเยียวยา และชดเชยที่เหมาะสม จะนำปัญหาทั้งหมดเสนอบนเวที เพื่อหาทางออกร่วมกัน
ขณะเดียว กัน ที่บริเวณหน้าโรงเรียนเทพา อ.เทพา เครือข่ายพลเมืองสงขลา และชาวบ้านกลุ่มคัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ร่วมกันเปิดเวทีประชาชนคู่ขนานกับเวทีภาครัฐ พร้อมออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ว่าตามที่รัฐบาลโดยกฟผ. จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน อ.เทพา ในวันที่ 27-28 ก.ค. นั้น ทางเครือข่ายฯ มีความเห็นว่ากระบวนการดังกล่าวไม่มีความชอบธรรม ขัดต่อหลักการการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
นายเอกชัย อิสระทะ เครือข่ายพลเมืองสงขลา กล่าวว่า เป็นการรับฟังความคิดเห็นข้างเดียว เฉพาะฝ่ายที่เห็นด้วยต่อโครงการโดยการกีดกันฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ไม่ให้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งโดย คำสั่งให้ร้าย และกีดกันในพื้นที่การจัดเวที เป็นเวทีบิดเบือนข้อมูล ให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ไม่ครบถ้วน ไม่ตอบคำถามจากการรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 1 ขาดข้อมูลเปรียบเทียบ เพื่อการตรวจสอบที่รอบคอบรอบด้าน
ตัวแทนเครือข่ายพลเมือง สงขลากล่าวต่อว่า อีกทั้งการจัดเวทีไม่สร้างบรรยากาศในการรับฟังที่เหมาะสมและเป็นอิสระ เช่น ระดมกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเกินความจำเป็น เหมือนมีสงคราม จึงขอเรียกร้องกฟผ. และผวจ.สงขลา ยุติกระบวนการรับฟังความคิดเห็นที่ขัดต่อหลักการการรับฟังความคิดเห็นของ ประชาชนโดยวิธีสาธารณะ ดังกล่าว และไม่ให้นำผลการรับฟังที่ขาดความชอบธรรมนี้ มาอ้างขออนุญาตทำโครงการต่อไป จนกว่าจะได้ดำเนินการ กระบวนการรับฟังความคิดเห็นที่เป็นที่ยอมรับของสาธารณชน
ส่วน นายดิเรก เหมนคร ตัวแทนเครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานี ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน กล่าวว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จะก่อสร้างมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่กำลังการผลิตถึง 2,200 เมกะวัตต์ บนเนื้อที่ 2,960 ไร่ จะสร้างผลกระทบอย่างมากกับคนในพื้นที่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ดังนั้น การรับฟังความคิดเห็นของคนในพื้นที่ จึงเป็นสิ่งที่จะต้องทำให้เกิดความโปร่งใส ทั่วถึง และหลากหลายที่สุด
นาย ดิเรกกล่าวต่อว่า เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานี มีความเห็นดังต่อไปนี้ กฟผ.ไม่ปฏิบัติตามระเบียบขั้นตอนของการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนอย่าง แท้จริง กฟผ. ไม่ควรใช้ช่องว่างทางการเมือง และใช้อำนาจพิเศษทางการเมืองและการทหาร มาเป็นสิ่งขัดขวางปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน การจัดเวทีดังกล่าวทั้ง 3 ครั้ง จึงไร้ความชอบธรรม เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาถ่านหิน จึงเรียกร้องให้ถือเป็นโมฆะไป และหลังจากนี้ทางเครือข่ายฯ จะดำเนินการเพื่อให้ยกเลิกกระบวนการดังกล่าวต่อไป
วันเดียว กัน ที่สำนักงานทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.กระบี่ นายอมฤต ศิริพรจุฑากุล ประธานเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน พร้อมด้วยสมาชิกเครือข่าย 8 องค์กร อาทิ นายอาหลี ชาญน้ำ นายกสมาคมคนรักเล จ.กระบี่ นายอัครเดช ฉากจินดา กลุ่มอนุรักษ์เมืองกระบี่ และสมาชิก ยื่นหนังสือผ่านไปถึง พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อคัดค้านการปรับแก้ประกาศพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม จ.กระบี่
นายอมฤต กล่าวว่า ตามที่ครม.มีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกาศกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมท้องที่ จ.กระบี่ ซึ่งระยะเวลาผ่านมาร่วม 8 เดือนเศษ หลังจากที่ประกาศฉบับเดิมหมดอายุ ก็ยังไม่มีการประกาศใหม่ นับเป็นการปฏิบัติราชการล่าช้า จนอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อพื้นที่สาธารณะ ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และมีผืนหญ้าทะเลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ไทย และทราบว่ามีความพยายามของผู้แทนกระทรวงพลังงานขอปรับแก้ข้อความ ให้สามารถสร้างโครงการถ่านหิน ในพื้นที่ คุ้มครองสิ่งแวดล้อม จ.กระบี่ ได้
ประธาน เครือข่ายฯ กล่าวต่อว่า เจตนารมณ์ในการประกาศพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมนั้น เพื่อป้องกันและยับยั้งการดำเนินโครงการ หรือกิจกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อม ดังนั้น การแก้ไขข้อความประกาศพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม จ.กระบี่ ที่เอื้อให้ กฟผ.ก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จึงขัดกับเจตนารมณ์ที่ประกาศไว้ เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน จึงขอให้ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิจารณาเรื่องนี้ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการคุ้มครองพื้นที่
ที่มาhttp://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1438139541