หมอเตือนอันตราย! ฉีดฟิลเลอร์ปั้นดั้ง มีสิทธิตาบอดได้
นพ.ไพศาล ร่วมวิบูลย์สุข ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กรณีการใช้ฟิลเลอร์เพื่อเสริมความงาม ก่อนหน้านี้ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์ฯ ร่วมกับสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประทศไทย ได้เตือนถึงอันตรายในการเกิดผลแทรกซ้อน หากฉีดฟิลเลอร์เพื่อความงามในตำแหน่งที่เสี่ยง ซึ่งอาจทำให้เกิดผลแทรกซ้อนทั้งต่อดวงตา ทำให้ตาบอด หรือผลกระทบต่อผิวหนัง ซึ่งในปี 2557 มีผู้ป่วยเข้ามารักษาผลแทรกซ้อนกว่า 10 ราย ซึ่งหลังจากนั้นก็เริ่มพบเคสผู้ป่วยน้อยลง แต่ล่าสุดช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เริ่มพบผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากการฉีดฟิลเลอร์ ทำให้ตาบอด 2-3 ราย ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นอีก จึงอยากเตือนประชาชนว่า หากต้องการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเสริมความงาม ต้องทำใจยอมรับว่า มีโอกาสเสี่ยงผลกระทบทำให้ตาบอดได้
นพ.ไพศาล กล่าวว่า ผลแทรกซ้อนจากการฉีดฟิลเลอร์ คือหากฉีดบริเวณจมูก จะมีเส้นเลือดบริเวณนั้นที่เชื่อมต่อไปเลี้ยงที่ตา ซึ่งเส้นเลือดแต่ละคนนั้นมีความลึกตื้นไม่เท่ากัน หากฉีดพลาดทำให้ฟิลเลอร์หลุดเข้าไปในกระแสเลือด จะทำให้เกิดการอุดตันที่เส้นเลือดแดง หากเป็นตำแหน่งของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา จะทำให้ขั้วประสาทตาขาดเลือด และทำให้ตาบอดทันที และหลายรายเกิดภาวะบอดคาเข็ม แม้ข้อมูลทางห้องปฏิบัติการจะระบุว่า จอประสาทตาจะขาดเลือดได้ไม่เกิน 90 นาที ไม่เช่นนั้นจะตาบอดถาวร แต่ในความเป็นจริงหลายรายพบว่า เพียง 2-3 ชั่วโมงก็ทำให้ตาบอดได้เช่นกัน
“ดังนั้น ถ้าคิดว่าอยากสวยด้วยการฉีดฟิลเลอร์ก็ต้องยอมรับว่า มีโอกาสเสี่ยงตาบอด ยิ่งถ้าเป็นหมอเถื่อนยิ่งมีโอกาสเสี่ยงสูง ทั้งนี้ ราชวิทยาลัยฯ ได้เปิดเพจ “สุขภาพตา โดยราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย” ขึ้นในเฟซบุ๊ก เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับดวงตาในหลายแง่มุม ซึ่งประชาชนสามารถหาข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อการตัดสินใจได้” นพ.ไพศาล กล่าว
นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อนุญาตให้ใช้ฟิลเลอร์ในการเสริมความงามชนิดที่เรียกว่า ไฮยาลูโรนิค แอซิด ซึ่งส่วนใหญ่จะนำมาใช้เติมเต็มแผลที่เป็นหลุมจากสิว หรือจากอีสุกอีใส ขณะเดียวกันก็นำมาใช้ลดริ้วรอย ทำให้ใบหน้าเต็งตึงควบคู่กับการฉีดโบท็อกซ์ ปัญหาคือ การฉีดฟิลเลอร์มีข้อควรระวัง เนื่องจากหากฉีดบริเวณจุดเสี่ยง อย่างใกล้ๆ ดวงตา หรือรอบๆ จมูก มีโอกาสเสี่ยงตาบอดได้ เพราะหากฉีดมากเกินไป หรือฉีดถูกหลอดเลือดย่อมก่อให้เกิดการอุดตันและส่งผลต่อดวงตา รวมทั้งบริเวณผิวหนังอาจทำให้เกิดผิวหนังอักเสบ เน่า กลายเป็นแผลเป็น และเสียโฉมในที่สุด รวมไปถึงหากใช้สารฟิลเลอร์ไม่ดีอาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียอีกด้วย
“ก่อนฉีดฟิลเลอร์ต้องศึกษาให้ดีว่ามีผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง และมีโอกาสกระทบกับดวงตามากน้อยแค่ไหน รวมทั้งต้องเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรง พิจารณาว่ามีใบประกอบโรคศิลปะหรือไม่ ได้รับการรับรองจากแพทยสภาหรือไม่ ซึ่งสามารถเข้าไปดูรายชื่อแพทย์ได้ในเว็บไซต์ของสมาคมโรคผิวหนังฯ www.dst.or.th ที่อยากฝากไว้คือ การฉีดฟิลเลอร์ในบางรายต้องพิจารณาให้ดีๆ กรณีฉีดเพื่อเติมเต็มเนื้อบริเวณสันจมูก ให้ดูเหมือนมีดั้งโด่ง จริงๆแล้ว การฉีดฟิลเลอร์ไม่ถาวร เพราะต้องฉีดซ้ำประมาณ 1 ปี ดังนั้น หากพิจารณาแล้วการศัลยกรรมจมูกอาจคุ้มกว่าหรือไม่ ก็ต้องเลือกให้เหมาะสม” นพ.นภดล กล่าว